วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557
การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)
การหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มีขั้นตอนดังนี้
- แยกงานสถานที่จากบทและรวมกลุ่มสถานที่ การเริ่มหาสถานที่ให้นำบทมาอ่านแล้วลำดับรายชื่อสถานที่เกิดขึ้นในบท จากนั้นก็มารวมกลุ่มกันโดยคำนึงถึงกลุ่มสถานที่ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวก เช่น ฉากทะเล ภูเขา หมู่บ้าน ชาวประมง ร้านอาหารริมทะเล หรือบ้านไม้ ซอยแคบ ถนนลูกรัง หรือโรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาเกต ร้านไอศกรีม ฯลฯ
- ติดต่อสอบถาม เมื่อได้รายชื่อสถานที่แล้ว ให้ติดต่อสอบถามแหล่งต่างๆ เช่น จากเพื่อน ผู้ช่วยผู้กำกับกองถ่ายอื่น เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตามสถานที่ต่างๆ ดูจากนิตยสารการท่องเที่ยว โปสการ์ด แผ่นพับ เพื่อให้ได้ข้อมูลขั้นต้น ไม่ใช่ออกหาสถานที่เลย เพราะจะประหยัดเวลา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหารได้มาก
- บริหารการเดินทาง การออกหาสถานที่ถ่ายทำ หากเช่ารถแล้วควรเริ่มออกแต่เช้าตรู่ บุคคลที่ไปหาไม่ควรเกิน 2 คน คือ ฝ่ายธุรกิจหนึ่ง และผู้ช่วยฝ่ายศิลป์หนึ่ง ฝ่ายธุรกิจดูแลการจัดการ เช่น ระยะทาง ค่าเช่าที่พัก การติดต่อขออนุมัติ ส่วนฝ่ายศิลปะดูความสวยงามทางศิลปะที่สอดคล้องกับบท ใช้กล้องและฟิล์มราคาถูกถ่ายภาพมุมต่างๆ ที่เห็นเหมาะ บางสถานที่ขอภาพถ่ายที่เขามีอยู่แล้ว หรือขอแผ่นพับโฆษณาก็ได้ ในขณะเดียวกันร่างแผนที่และแผนผังพื้นที่มาด้วย
- นำภาพถ่ายเข้าที่ประชุม นำภาพถ่ายแผ่นพับ แผนผัง และข้อมูลที่ได้มาเพื่อเข้าที่ประชุมและคัดเลือก
- ดูสถานที่จริง เมื่อคัดเลือกสถานที่ขั้นต้นได้แล้ว ขั้นต่อไปผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ และผู้กำกับฝ่ายศิลป์ จะเดินทางไปดูสถานที่จริง จะเพิ่มเติมดัดแปลงอะไร จะวางกล้องตรงไหนจะได้ปรึกษากับตอนนี้ เบอร์โทรศัพท์ แผนที่ วันเวลาเปิดปิด เงื่อนไขการเข้าสถานที่ก็ยืนยันความแน่นอนตอนนี้
ข้อควรคำนึงในการหาสถานที่ถ่ายทำ
สถานที่ถ่ายทำที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือมีความเหมาะสมในแง่การจัดการ และมีคุณค่าทางศิลปะ ความเหมาะสมในการจัดการ ก็คือ
- ใกล้ที่ทำงาน ถ้าเป็นได้สถานที่นั้นไม่ควรไกลจากที่ทำงาน เพื่อความสะดวกหากลืมสิ่งของที่จำเป็นจะประหยัดค่าเดินทาง
- มีความหลากหลาย สถานที่นั้นหากไปที่เดียวแล้วถ่ายได้หลายฉาก จะเป็นสถานที่ถ่ายทำที่ดีมาก เราจะไม่ต้องเคลื่อนย้ายกองถ่ายบ่อยๆ เช่น ไปหมู่บ้านจัดสรรก็จะได้ร้านค้า บ้าน สวนสาธารณะ โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น สนามกอล์ฟ คลับ ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ ถนนในหมู่บ้าน ฯลฯ จะมีความสะดวกในการถ่ายทำ เวลาจะย้ายกองถ่ายก็ย้ายกองถ่ายใกล้ๆ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก
- มีความสะดวกในการถ่ายทำ คือ มีโทรศัพท์ติดต่อ มีที่จอดรถสะดวก ห้องน้ำมีหลายห้อง มีพื้นที่ว่างสำหรับแต่งกายและแต่งหน้า มีความสูงของเพดานสำหรับติดตั้งดวงไฟ มีพื้นที่สำหรับเก็บพักอุปกรณ์ถ่ายทำ มีพื้นที่สำหรับจัดส่วนรับประทานอาหารของกองถ่าย ไม่มีเจ้าถิ่นที่คอยรบกวน
- ราคาไม่แพง สถานที่ควรเก็บค่าเช่าไม่แพงนัก หากไม่เสียเลยได้ยิ่งดี เพียงแต่เสียค่าแม่บ้านทำความสะอาด หรือช่วยค่าน้ำค่าไฟบ้างเท่านั้น เช่น บ้านเพื่อน หน่วยราชการ สถานที่เพื่อการกุศล สถานที่ทำการบริการ หากแลกเปลี่ยนกับการขึ้นไตเติลให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย การหาสถานที่ที่ขายบริการ เช่น ร้านอาหาร ไนท์คลับ โรงแรม สวนสนุก ควรหาที่ที่เปิดกิจกรรมใหม่ๆ จะไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะกิจการเหล่านั้นจะอยู่ในช่วงประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย
- ไม่มีสิ่งที่จะเสียหายง่าย ควรหาสถานที่ถ่ายทำที่จะเสี่ยงต่อการชดใช้ของเสียหายน้อยที่สุด เช่น สถานที่ที่มีของราคาแพง เช่น พรม เครื่องลายคราม เครื่องแก้ว ไม้ประดับราคาสูง เพราะหากหาย หรือเสียหายขึ้นมาจะยุ่งยากต่อการชดใช้
- เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ ที่จะทำให้บันทึกเสียงไม่ได้ เช่น สถานที่มีเสียงเครื่องจักร เสียงอู่ซ่อมจักรยานยนต์ เสียงเด็กอ่อน บ้านที่เลี้ยงสุนัข ถนนที่มีรถเสียงดังวิ่งผ่าน โครงการก่อสร้าง ฯลฯ
- มีความสะดวกในการจัดฉาก การจัดฉากภาพยนตร์ไม่เหมือนละครเวที มีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาทีแล้วแต่สถานการณ์ บางครั้งต้องย้ายมุมกล้อง หรือผู้กำกับนึกภาพออกมาอย่างกระทันหัน สถานที่ที่ดีควรจะมีอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ที่จะหยิบยืม นำมาจัดฉากได้ง่าย เช่น โต๊ะ ต้นไม้ กระถาง รูปภาพ แจกัน เครื่องเรือนชุดสนามที่สามารถยกมาจัดแต่งเพิ่มเติมได้ทันที
ที่มา http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html
เกี่ยวกับหนังสั้น
ประวัติหนังสั้น
หนังสั้นโดยเปรียบเทียบกับเรื่องสั้นในความหมายของหนังสั้นที่ยึดถือตามธรรมเนียมปฏิบัติคือ หนังที่มีความยาวไม่เกิน 30 นาที มีรูปเเบบหรือสไตล์หลากหลาย ทั้งที่ใช้การเเสดงสด(Live action film)หรือ แอมนิเมชั่น(animited film) ก็ได้
การกำหนดความยาวของหนังสั้นด้วยเวลาที่เเน่นอน เพราะเนื่องจากหนังที่มีความยาวเกิน 30 นาที จะมีรูปเเบบของการเข้าถึงตัวละครเเละโครงเรื่องต่างจากหนังสั้นที่มีความยาวไม่เกิน 30 นาที หนังที่มีความยาวตั้งเเต่ 30-60 นาที จะมีโครงเรื่องที่ซับซ้อนมากกว่าการกำหนดอารมณ์ของคนดูว่าตอนไหนควรเร่งรีบ ตอนไหนควรทิ้งหรือถ่วงเวลาเพื่อให้คนดูสนุกสนาน ส่วนหนังสั้นมีเวลาจำกัดไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์หรือเล่นอารมณ์กับคนดูได้มากนักจึงต้องเข้าถึงตัวละครอย่างรวดเร็ว เเละทำโครงเรื่องให้ง่ายไม่ซับซ้อนเพื่อให้คนดูเข้าใจเรื่องได้ในเวลาที่จำกัด
พัฒนาการของภาพยนตร์สั้น
ปัจจุบันหนังสั้นมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาให้กลายเป็นหนังบันเทิงเรื่องยาว หนังเรื่องเเรกเท่าที่มีการค้นพบ เป็นหนังสั้นของ Edison มีความยาวประมาณ 50 ฟุต เป็นเเอ็คชั่นของการจามเรื่อง Fred Ott’s Sneeze (1894) ถ่ายด้วยกล้อง Kinetograph การสร้างหนังในช่วงเเรก เป็นหนังสั้นทุกเรื่อง เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ภาพยนตร์ในสมัยนั้นได้รับความสนใจมาก เเละเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ดีทำให้บริษัทของ Edison เเละบริษัทอื่นๆรวมทั้งบริษัท Mutoscope เเละ Biograph เริ่มต้นที่จะรวมตัวกันผูกขาดกิจการค้า โรงหนัง Pittsburgh ในปี 1905 ซึ่งโรงหนังนี้ทำให้มีคนดูหนังมากขึ้น ธุรกิจหนังสั้นในยุคนั้นจึงเฟื่องฟูขึ้น ในปี 1908 อิตาลีสร้างหนังประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มีความยาว 5 ม้วน D.W. Griffith ได้รับอิทธิพล การสร้างหนังที่มีความยาวขึ้น ซึ่งเเต่เดิมการสร้างภาพยนตร์เรื่องยาว เขามีความพยายามสร้างอยู่เเล้วโดยสร้างให้ยาวมากขึ้นเรื่อยๆจาก 1 ม้วนเป็น 2 ม้วน เช่นเรื่อง Enoch Arden (1991) เเม้จะไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เเละถูกคัดค้านไม่เห็นด้วยจากผู้อำนวยการสร้าง เเต่ในที่สุดเมื่อเขาชมภาพยนตร์ที่มีความยาวของอิตาลี จึงเป็นเเรงให้เขามีเเรงบันดาลใจในการสร้างหนังยาวถึง 4 ม้วน ในเรื่อง Judith of Bethulia (1914) ซึ่งเป็นหนังที่มีความยาวมากครั้งเเรกของประวัติศาสตร์การสร้างหนังของ Hollywood เป็นเรื่องสำคัญเรื่องสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มสร้างหนังบันเทิงเรื่องยาว คือ The Birth of a Natoin (1915) อันเป็นจุดเริ่มต้นบรรทัดฐานการสร้างหนังบันเทิงที่มีความยาวในปัจจุบัน เเม้ว่าหนังบันเทิงที่มีความยาวมากขึ้นจะได้รับความนิยม เเต่หนังสั้นก็ยังคงผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง มีผู้กำกับหนุ่ม Mack Scnnett ที่ไม่สามารถผลิตหนังตลกให้กับบริษัทของ Edison หรือ Biograph ได้อีกต่อไปจึงออกมาสร้างบริษัทสร้างภาพยนตร์อิสระของตนเอง ชื่อบริษัท Keystone Picture ผลิตหนังสั้นตลก ต่อมาในปี 1913 นักเเสดงชาวอังกฤษ Charlie Chapplin ได้ร่วมกับบริษัทของ Sennett สร้างหนังสั้นตลกยิ่งใหญ่ออกมาอีกหลายเรื่อง เช่น The Tramp (1915) , One A.M. (1916), Easy Street (1917), เเละ A dog’s Life (1918) หนังสั้นตลกของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการวิพากษ์สังคมโดยผ่านตัวละครโง่เขลา จนในที่สุดกลายมาเป็นเเบบอย่างให้กับนักเเสดงตลกที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ตามมา เช่น Buster Keaton เเละ Laurel and Hardy
ที่มา http://arreelak.wordpress.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/
เทคนิคการถ่ายวีดีโอ
เทคนิคการถ่ายวีดีโอ มีดังนี้
ปัจจุบันกล้องวีดีโอมีอยู่หลายประเภท เช่น แบบ Handycam(กล้องขนาดเล็ก) กล้องแบบมืออาชีพ(ขนาดใหญ่) แต่หลักการและเทคนิคการถ่ายจะเหมือนๆกัน
ก่อนอื่นเรามาทราบถึงประเภทของสื่อที่ใช้บันทึกภาพของกล้องวีดีโอก่อนว่าปัจจุบันมีอยู่กี่แบบ
1.แบบใช้ม้วนเทป ปัจจุบันเหลือเพียง miniDV เป็นส่วนใหญ่
2.แบบใช้แผ่น ซึ่งจะใช้แผ่น mini DVD เป็นตัวเก็บข้อมูล
3.แบบใช้ Hard Disk ปัจจุบันมีให้เลือกหลายขนาดของความจุ เช่น 30 GB, 60 GB ต้น
4.แบบใช้ Memory card เช่น SD, Memory Stick, XDcard เป็นต้น
เทคนิคการถ่าย
1. อย่าถ่ายแช่นานเกินไป
2.อย่ายกกล้องไปมาแทนสายตา
3.ถ้าเหตุการณ์นั้นยังไม่สิ้นสุด อย่าหยุดถ่ายกลางคัน
4.อย่าZoom หรือ Pan ขณะถ่าย บ่อยเกินไป
5.หาจุดจบที่ทำให้สนใจ
6.พยายามมองหาจุดที่น่าสนใจรอบๆตัวเพื่อจะได้ไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญ
หลักการง่ายๆแค่นี้ ท่านก็จะได้ภาพที่ดูดี ระดับมืออาชีพแล้ว
7. ถือกล้องให้นิ่ง อย่าสั่น เทคนิคง่ายๆคือกลั้นหายใจ หรือหายใจเบาๆ ขณะที่กด record
ที่มา http://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/
ตัดต่อหนังสั้นใช้โปรแกรมอะไรกัน?
ขั้นเทพใช้ Avid Studio โหลดได้ที่ http://software.thaiware.com/11247-Avid-Studio.html
ระดับกลาง ๆ ด้วย Ulead VideoStudio V.11
ระดับกลาง ๆ ด้วย Ulead VideoStudio V.11
ถ้าง่าย ๆ ใช้ Windows Movie Maker
Adobe Premiere (สำหรับ Studio ทั่วไป จะนิยมใช้ตัวนี้กัน)
Sony Vegas (สำหรับตัวนี้น้องใหม่มาแรงในตอนนี้ ใช้งานง่าย อาจจะง่ายกว่าโปรแกรมอื้น ๆ ในระดับเดียวกัน)
AfterEffect (ใช้ทำ Effect ตามชื่อของมัน)
Combustion (ตัวนี้ก็สุดยอดการตัดต่ออีกตัวหนึ่งครับ ตัดต่อและใส่ Effect ระดับหนัง Hollywood ครับ สามารถวางองค์ประกอบวิดีโอสไตล์ 2 มิติ และ 3 มิติ ได้ครับ)
5. Avid (ตัวนี้สำหรับ Broadcast ตัดต่อหนังและวีดีโอ รายการข่าวระดับมือโปรครับ (Film and Video Production) ตัวนี้ทำงานกับ คอมพิวเตอร์ PC บนระบบปฏิบัติการ Windows
Sony Vegas (สำหรับตัวนี้น้องใหม่มาแรงในตอนนี้ ใช้งานง่าย อาจจะง่ายกว่าโปรแกรมอื้น ๆ ในระดับเดียวกัน)
AfterEffect (ใช้ทำ Effect ตามชื่อของมัน)
Combustion (ตัวนี้ก็สุดยอดการตัดต่ออีกตัวหนึ่งครับ ตัดต่อและใส่ Effect ระดับหนัง Hollywood ครับ สามารถวางองค์ประกอบวิดีโอสไตล์ 2 มิติ และ 3 มิติ ได้ครับ)
5. Avid (ตัวนี้สำหรับ Broadcast ตัดต่อหนังและวีดีโอ รายการข่าวระดับมือโปรครับ (Film and Video Production) ตัวนี้ทำงานกับ คอมพิวเตอร์ PC บนระบบปฏิบัติการ Windows
ที่มา https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20130827011628AAOQu28
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
ขั้นที่1 หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ
การตัดต่อ การประเมินผล
ขึ้นที่2 หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึง ผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิค
ขั้นที่3 เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ
ขั้นที่4 บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา
เรื่องบทนี้จะมี หลายแบบ
- บทแบบสมบูรณ์ (เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูด)
- บทแบบอย่างย่อ(เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง)
- บทแบบเฉพาะ
- บทแบบร่างกำหนด
ขั้นที่5 การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากคุณต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบนะเยอะมากพูดรวมๆ มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้
ขั้นที่6 ค้นหามุมกล้อง
- มุมคนดู ประมาณว่า เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ
- มุมแทนสายตา
- มุมพ้อยออฟวิว มุมนี้ในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ ครับ
ขั้นที่7 การเคลื่อนไหวของกล้อง
- การแพน การทิลท์ ประมาณว่า การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันกัน
- การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหวเลยค
- การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง
ขั้นที่8 เทคนิคการถ่าย
เอาเป็นว่าจับกล้องให้มั่น จับแบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลย
และก็ไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็ว กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอ
ขั้นที่9 หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟก ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่อง อักษรหนังสือ
ขั้นที่10 การตัดต่อ
อย่างแรกจัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้งอย่าให้ขัดอารมณ์
อย่างสองคือจัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่เราวางไว้
อย่างสามแก้ไขข้อบกพร่อง
อย่างสี่ เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม
ที่มา http://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/
ตัวอย่างบทหนังสั้น
ชื่อเรื่อง รักเธอเท่าฟ้า
ผู้แสดง
1. นางสาวเพ็ญนภา กลิ่นจันทร์ เลขที่ 29 แสดงเป็น ตะขบ
2. นางสาวพรหมริชา ชื่นใจทับ เลขที่ 38 แสดงเป็น วันเพ็ญ
3. นายสุรพันธ์ สวยงาม เลขที่ 6 แสดงเป็น เฮนรี่
4. นางสาวพรนภา จันทร์เดิม เลขที่ 39 แสดงเป็น เจ๊มาลี
ฉากที่ 1 สถานที่ บ้านของตะขบ
มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีแค่แม่วันเพ็ญซึ่งเป็นแม่ค้าและตะขบลูกสาวที่ฟุ้มเฟือย ที่ฐานะทางบ้านขาดแคลน ในทุกๆ เช้าตะขบนั้นจะขอเงินแม่ไปโรงเรียนมากๆ ถึงแม้แม่จะมีเงินไม่มากแต่ก็จะหาเงินมาให้ลูกเพื่อไปเรียนให้ได้และทุกๆ เช้าก็ได้แต่บอกลูกให้ใช้เงินอย่างประหยัด แต่ก็มักจะโดนตะขบว่ากลับไปตลอด
ตะขบ : แม่!! หนูขอตังค์ไปเรียนหน่อย
แม่ : จะเอาเท่าไหร่จ้ะลูก
ตะขบ : 1500 แม่
แม่ : โอ๊วว ว จะเอาไปทำอะไรหรอลูก เงินเยอะขนาดนั้น?
ตะขบ : เรื่องของหนู แม่อย่ามายุ่ง
แม่ : จ่ะๆ นี่เงินจ่ะลูก
ตะขบ : ขอบใจแม่ ไปแล้วนะ หวัดดี!!
ฉากที่ 2 โรงเรียนของตะขบ
ตะขบได้มาถึงโรงเรียนแล้วก็ได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ซึ่งแทนชื่อตัวเองว่าเชอร์รี่ แล้วก็ได้โกหกเพื่อนๆว่าฐานะทางบ้านของตัวเองว่ามีฐานะร่ำรวย
ตะขบ : หวัดดีจ้าเพื่อนๆ
เฮนรี่ : ไงจ้ะยัยเชอร์รี่
ตะขบ : ไงจ้ะเฮนรี่ไม่เจอกันตั้ง 23 ชั่วโมง มิสยูมากกก!!
เฮนรี่ : เชอร์รี่ ชั้นซื้อ Iphone มาใหม่ รุ่นนี้อ่ะ เริ่ดมากกก
ตะขบ : จริงหรอ อันนี้อ่ะ ชั้นจะได้ไปขอให้คุณหญิงแม่ซื้อให้บ้าง เราจะได้ใช้เป็นบัดดี้กัน
เฮนรี่ : โอเค! งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาใช้เป็นบัดดี้กันนะจ้ะ จุ๊ปปี้ ^^
ฉากที่ 3 สถานที่ ตลาด
เช้าวันหนึ่งขณะที่วันเพ็ญกำลังขายของอยู่ในตลาด ลูกสาวที่แสนดื้อรั้นก็ได้เดินมาหาแล้วก็บอกว่าจะเอาเงิน 25000 บาท แต่วันเพ็ญก็ไม่มีจึงถูกลูกสาวดุ ! (แต่ตอนนั้นเฮนรี่เพื่อนรักของลูกสาวก็ได้แอบมองการสนทนานั้นอยู่)
ตะขบ : แม่!! หวัดดี
แม่ : จ่ะลูก
ตะขบ : ขอตังค์หน่อยดิแม่
แม่ : เท่าไหร่หรอลูก
ตะขบ : 25000 อ่ะ
แม่ : ฮ๊ะ? ลูกจะเอาไปทำไรเงินเยอะแยะขนาดนั้น
ตะขบ : ไม่ต้องมายุ่ง เรื่องของหนู
แม่ : เงินเยอะขนาดนั้นแม่จะไปหาทมาจากไหนล่ะลูก แม่ไม่มีหรอกจ่ะ
ตะขบ : แม่จะให้หรือไม่ให้ฮ๊ะ!?
แม่ : จ้าๆ ลูกแม่จะพยายามหามาให้ลูกให้ได้นะ
ตะขบ : ดีมากแม่!!
ฉากที่ 4 สถานที่ ตลาด
ขณะที่ลูกสาวเดินไป วันเพ็ญก็ได้ไปยืมเงินเจ๊มาลี(เป็นเจ้าแม่เงินกู้ที่โหดที่สุดในตลาด) เพื่อที่จะนำมาให้ลูกสาว
แม่ : เจ๊มาลีจ๋า สบายดีไหมจ๊ะ
มาลี : สบายดี ว่าแต่ มาทำไรที่ร้านฉันจ้ะวันเพ็ญ
แม่ : เอิ่ม มม ... คือว่าฉันมีเรื่องจะรบกวนเจ๊หน่อยจ่ะ
มาลี : เรื่องไรว่ามา
แม่ : คือว่า...ฉันจะมาขอยืมเงินเจ๊สัก 25000 บาทอ่าจ่ะ
มาลี : อืม ม มๆ... ได้ๆ รอแปปนะ! …………….. อ่ะนี่เงิน ดอกเบี้ยร้อยละ 40 นะ
แม่ : อู๊ว ว ว ... ได้ค่ะเจ๊ งั้นอีก 3 วันฉันจะเอามาคืนนะคะ
มาลี : เออๆ ได้ๆ
ฉากที่ 5 สถานที่ บ้านของตะขบ
ตอนนี้มาลีได้เดินมาถึงบ้านเพื่อเอามาให้ลูกสาว
ตะขบ : แม่ได้เงินยัง
แม่ : นี่จ่ะลูก
ตะขบ : ขอบใจแม่ หนูไปล่ะ
แม่ : จ้าๆ ลูก
ฉากที่ 6 โรงเรียนของตะขบ
ตะขบได้มาถึงโรงเรียนแล้วก็ได้พูดคุยกับเพื่อนๆ แล้วจึงอวดโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเธอ แต่หารู้ไม่ว่าเพื่อนๆ นั้นได้ทราบฐานะทางบ้านของเธอแล้ว
ตะขบ : หวัดดีเฮนรี่
เฮนรี่ : ไงจ้ะยัยเชอร์รี่
ตะขบ : ไงจ้ะเฮนรี่ ชั้นซื้อมาแล้วนะ
เฮนรี่ : หรอจ้ะ เมื่อวานชั้นเห็นเธอทำอะไรกะแม่ค้าในตลาดอ่ะ L
ตะขบ : เปล่าหนิ ชั้นแค่ไปเดินซื้อของในตลาดเฉยๆ
เฮนรี่ : อ๋อหรอ ชั้นเห็นเธอเรียกหล่อนว่าแม่น่ะ
ตะขบ : ป่าวนะ !!
เฮนรี่ : เธอพลาดแล้วล่ะตะขบ ชั้นรู้นิสัยและชาติตระกูลของเธอหมดแล้ว
ตะขบ : เอิ่ม ม ม...
เฮนรี่ : เธออย่ามายุ่งกับพวกชั้นเลยนะ พวกชั้นไม่คบเธอแล้ว The cow forget the feet ชั้นไม่ชอบคน Fake ที่สุด ไป . .. !
ฉากที่ 7 บ้านของตะขบ
จากนั้นตะขบก็ได้เดินร้องไห้มาหาแม่ด้วยความเสียใจ และก็ขอโทษทุกสิ่งทุกอย่างกับแม่
ตะขบ : แม่จ๋า เพื่อนไม่คบหนูแล้ว วว ฮืออๆ TT
แม่ : โอ๋ๆ ลูกอย่าร้องไห้เลยนะ ยังไงหนูก็ยังมีแม่อยู่
ตะขบ : แม่...ไม่มีใครต้องการหนูเลย ไม่มีใครรักหนูเลยย ย
แม่ : มีสิลูก แม่นี่ไง ถึงหนูจะแนยังไง จะนิสัยดีไหมยังไงแม่ก็ยังรักหนูเหมือนเดิมนะลูก
ตะขบ : แม่หนูขอโทษ
แม่ : จ่ะลูก แม่ให้อภัยหนูเสมอนะ แม่รักหนูนะ
ตะขบ : หนูก็รักแม่ค่ะ
ที่มา https://sites.google.com/site/crazyduckgymp/bth-hnang-san
ปัจจัยสำคัญของภาพยนตร์สั้น
ปัจจัยสำคัญของภาพยนตร์สั้น มีดังนี้
1. ความยาว (Lenght)
.....ภาพยนตร์สั้นมักมีความยาวตั้งแต่ 1 – 30 นาที ขึ้นอยู่กับความพอดีและลงตัว
.....ความพอดี หรือความลงตัว อยู่ที่หนังสามารถตอบสนองเรื่องราวได้อย่างน่าพอใจหรือยัง
.....ความยาวจึงขึ้นอยู่กับผู้กำกับที่จะตัดสินใจว่า การเล่าเรื่องเกินพอดี หรือขาดความพอดีหรือไม่
ซึ่งการขาดความพอดี หรือการเกินความพอดี จะส่งผลให้หนังอืดอาดยืดยาด หรือหนังเร็วจนเรื่องขาดหายไป
ทำให้ดูไม่รู้เรื่อง สำหรับหนังของมือใหม่มักมีข้อบกพร่อง คือ กังวลว่าคนดูจะไม่รู้เรื่อง จึงมักพูดมาก จนน่าเบื่อหรือ
ความอ่อนประสบการณ์ทำให้ไม่สามารถแตกช็อตให้คนดูเข้าใจเรื่องได้
จึงกลายเป็นหนังที่ห้วนและดูไม่รู้เรื่อง
.....ความพอดี หรือความลงตัว อยู่ที่หนังสามารถตอบสนองเรื่องราวได้อย่างน่าพอใจหรือยัง
.....ความยาวจึงขึ้นอยู่กับผู้กำกับที่จะตัดสินใจว่า การเล่าเรื่องเกินพอดี หรือขาดความพอดีหรือไม่
ซึ่งการขาดความพอดี หรือการเกินความพอดี จะส่งผลให้หนังอืดอาดยืดยาด หรือหนังเร็วจนเรื่องขาดหายไป
ทำให้ดูไม่รู้เรื่อง สำหรับหนังของมือใหม่มักมีข้อบกพร่อง คือ กังวลว่าคนดูจะไม่รู้เรื่อง จึงมักพูดมาก จนน่าเบื่อหรือ
ความอ่อนประสบการณ์ทำให้ไม่สามารถแตกช็อตให้คนดูเข้าใจเรื่องได้
จึงกลายเป็นหนังที่ห้วนและดูไม่รู้เรื่อง
2. แก่นเรื่อง (Theme)
.....แก่นเรื่อง คือ สาระหรือจุดเป้าหมายที่เรากำลังพยายามเข้าถึง
.....แก่นเรื่อง คือ ความคิดลึกซึ้งที่เป็นนามธรรม หรือ ความคิดที่ยึดโครงสร้างของเรื่อง
และนำเสนอผ่านตัวละคร เป็นแอ๊กชั่นของการแสดงทั้งหมด
.....แก่นเรื่องเป็นศูนย์กลางความคิดหลักที่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่ผู้กำกับต้องการสื่อสารกับคนดู
...........**สำคัญมาก**..........หนังสั้นควรมีความคิดหลักประการเดียว มิฉะนั้นจะทำให้เรื่องซับซ้อน ต้องใช้วิธีเล่าเรื่องแบบหนังที่มีความยาวทั่วไป
.....ความคิดหลักไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับคนดูเสมอไป แต่ให้คนดูมีโอกาสไตร่ตรองสำรวจความคิดของตนเอง
เป็นการจุดจินตนาการและทำให้เกิดความคิดทางสติปัญญาขึ้น
3. ความขัดแย้ง (Conflict).....แก่นเรื่อง คือ สาระหรือจุดเป้าหมายที่เรากำลังพยายามเข้าถึง
.....แก่นเรื่อง คือ ความคิดลึกซึ้งที่เป็นนามธรรม หรือ ความคิดที่ยึดโครงสร้างของเรื่อง
และนำเสนอผ่านตัวละคร เป็นแอ๊กชั่นของการแสดงทั้งหมด
.....แก่นเรื่องเป็นศูนย์กลางความคิดหลักที่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่ผู้กำกับต้องการสื่อสารกับคนดู
...........**สำคัญมาก**..........หนังสั้นควรมีความคิดหลักประการเดียว มิฉะนั้นจะทำให้เรื่องซับซ้อน ต้องใช้วิธีเล่าเรื่องแบบหนังที่มีความยาวทั่วไป
.....ความคิดหลักไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับคนดูเสมอไป แต่ให้คนดูมีโอกาสไตร่ตรองสำรวจความคิดของตนเอง
เป็นการจุดจินตนาการและทำให้เกิดความคิดทางสติปัญญาขึ้น
.....เป็นการกำหนดความต้องการอย่างใดอย่างหนึ่งให้กับตัวละคร
หรือเป็นเป้าหมายที่ตัวละครต้องการจะไปให้ถึง
.....แล้วเรา (ผู้เขียนบท) จะสร้างอุปสรรคให้ตัวละครแก้ปัญหา หรือสร้างวิธีการต่าง ๆ
นานาให้ตัวละครไปสู่เป้าหมายอย่างยากเย็น
.....การสร้างความขัดแย้ง ผู้เขียนบทต้องเริ่มวางประเด็นของเรื่องไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะลงมือเขียนบท เป็นประโยคสำคัญ ความขัดแย้งมีหลายประเภท คือ
- ความขัดแย้งภายในจิตใจของตนเอง
- ความขัดแย้งระหว่างบุคคล
- ความขัดแย้งระหว่างคนกับสังคม
- ความขัดแย้งระหว่างคนกับธรรมชาติ
4. เหตุการณ์เดียว (One Primary Event)
.....เหตุการณ์หลักในหนังสั้น ควรมีเพียงเหตุการณ์เดียว ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
อาจจะกินระยะเวลาในหนังหลายวันหรือหลายอาทิตย์ก็ได้ ที่เป็นเช่นนี้ทำให้เนื้อเรื่องดูง่าย ไม่ซับซ้อน
มีความยาวไม่มากนัก
.....ใช้เหตุการณ์หลักที่เกิดขึ้นเพียงเหตุการณ์เดียวในการเล่าเรื่องเพื่อให้เหมาะสมกับเวลา
5. ตัวละครเดียว (One Major Character)
.....ตัวละครในภาพยนตร์ คือ การแสดงของคนที่มีบุคลิกลักษณะตามที่เราเลือกไว้
เพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการแสดง
.....ตัวละคร คือ มุมมอง หรือวิธีมองโลก (ซึ่งสามารถหมายถึง วิสัยทัศน์)
หรือวิธีที่ตัวละครมองโลกในแง่มุมต่าง ๆ
.....หนังสั้นจะใช้ตัวละครหลักเพียงตัวเดียว และผู้เขียนจำเป็นต้องสร้างให้ตัวละครให้มีความน่าสนใจ
และใช้ตัวละครหลักไปสัมพันธ์กับตัวละครอื่น หรือปัญหาอื่น
แล้วเปิดเผยให้คนดูเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าตกใจ
.....ตัวละครในภาพยนตร์ คือ การแสดงของคนที่มีบุคลิกลักษณะตามที่เราเลือกไว้
เพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการแสดง
.....ตัวละคร คือ มุมมอง หรือวิธีมองโลก (ซึ่งสามารถหมายถึง วิสัยทัศน์)
หรือวิธีที่ตัวละครมองโลกในแง่มุมต่าง ๆ
.....หนังสั้นจะใช้ตัวละครหลักเพียงตัวเดียว และผู้เขียนจำเป็นต้องสร้างให้ตัวละครให้มีความน่าสนใจ
และใช้ตัวละครหลักไปสัมพันธ์กับตัวละครอื่น หรือปัญหาอื่น
แล้วเปิดเผยให้คนดูเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าตกใจ
6. ความต้องการ (Need & Want)
.....ความต้องการของตัวละคร คือ สิ่งที่ตัวละครอยากได้ อยากมี อยากเป็น ต้องการให้ได้มา
ต้องการบรรลุในสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระหว่างเนื้อหาของเรื่องราว
.....ผู้เขียนต้องกำหนดความต้องการของตัวละครก่อนเขียนบท โดยกำหนดว่า
.........อะไร ? คือความต้องการของตัวละคร
.....ความต้องการนี้จะเป็นตัวผลักดันตัวละคร ให้เกิดการกระทำ
จากนั้นผู้เขียนต้องสร้างอุปสรรคขัดขวางความต้องการนั้น
.........**สำคัญมาก**.........ความต้องการจะช่วยให้โครงเรื่องพัฒนาไปอย่างมีทิศทาง
.....ในหนังสั้นความต้องการของตัวละครหลักมักมีหลายระดับ
.....ความต้องการของตัวละคร คือ สิ่งที่ตัวละครอยากได้ อยากมี อยากเป็น ต้องการให้ได้มา
ต้องการบรรลุในสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระหว่างเนื้อหาของเรื่องราว
.....ผู้เขียนต้องกำหนดความต้องการของตัวละครก่อนเขียนบท โดยกำหนดว่า
.........อะไร ? คือความต้องการของตัวละคร
.....ความต้องการนี้จะเป็นตัวผลักดันตัวละคร ให้เกิดการกระทำ
จากนั้นผู้เขียนต้องสร้างอุปสรรคขัดขวางความต้องการนั้น
.........**สำคัญมาก**.........ความต้องการจะช่วยให้โครงเรื่องพัฒนาไปอย่างมีทิศทาง
.....ในหนังสั้นความต้องการของตัวละครหลักมักมีหลายระดับ
7. โครงสร้างของบท (Structure)
.....โครงสร้าง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับทั้งหมด
.....ส่วนย่อยคือ แอ๊กชั่น , ตัวละคร , ฉาก , ตอน , องก์ (1,2,3) , เหตุการณ์ , สถานการณ์ , ดนตรี
สถานที่ ฯลฯ ส่วนย่อยทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นเพื่อหลอมรวมเป็นเรื่อง
แล้วโครงสร้างจะเป็นตัวยึดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกันเป็นภาพรวมทั้งหมด
8. ปูมหลัง (Backstory).....โครงสร้าง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับทั้งหมด
.....ส่วนย่อยคือ แอ๊กชั่น , ตัวละคร , ฉาก , ตอน , องก์ (1,2,3) , เหตุการณ์ , สถานการณ์ , ดนตรี
สถานที่ ฯลฯ ส่วนย่อยทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นเพื่อหลอมรวมเป็นเรื่อง
แล้วโครงสร้างจะเป็นตัวยึดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกันเป็นภาพรวมทั้งหมด
.....ปูมหลังของเรื่อง คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเรื่องในภาพยนตร์จะเกิด
เหตุการณ์ในอดีตจะส่งผลตรงกับอารมณ์ของตัวละครหลัก
.....ปูมหลังของเรื่องมีความสัมพันธ์กับความต้องการของตัวละคร คนเขียนบทต้องกำหนดล่วงหน้าก่อนลงมือเขียนบท แต่ปูมหลังไม่จำเป็นต้องปรากฏอยู่ในบท
ที่มา : จากหนังสือ นัก สร้าง สร้าง หนัง หนัง สั้น ของ รักศานต์ วิวัฒน์สินอุดม
http://shortfilm609.exteen.com/20080528/entry
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)